หยุดปีใหม่ไม่ได้ไปไหน เลยมีเมนูมานำเสนอครับเครื่องปรุ่งมีดังนี้จ้า1.กระเทียม 5 กลีบ2.ปลาหมึก+กุ้ง-ลูกชิ้นเนื้อ หรืออะไรก็ได้ตามชอบครับ ใส่เยอะก็น่ากินขึ้น อิอิ3.เต๋าเจียวตราเด็กสมบูรณ์ 1 ช้อนโต๊ะ4.แป้งข้าวโพด 5 ช้อินโต๊ะ ผสมน้ำ5.ซีอิ่วขาว เกลือ และน้ำตาล ชิมรสตามชอบครับ6.คะน้าต้นเล็ก เห็ดหูหนู เห็ดฟาง แครอท7.บะหมี่เหลือง 1 ห่อนำบะหมี่เหลืองลงไปทอดครับ น้ำมันเยอะๆๆหน่อย ทอดด้วยหม้อยิ่งดีครับเมือทอดหมี่เหลืองเสร็จก็พักไว้จากนั้นเริ่มทำน้ำราดหน้ากันจ้า ใส่กระเทียมตำละเอียดลงไปผัดจนหอม ใส่ ปลาหมึก แครอท และผักลงไปเติมน้ำ ปรุงรสด้วย ซีอิ่วขาว เต๋าเจียว และน้ำตาล ชมรสตามชอบครับชิมจนได้รสชาดที่โอเคแล้ว ก็ละลายแป้งข้าวโพด ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความเหนี่ยวของน้ำราดหน้าครับเวลาทาน ก็เอา หมี่กรอบใส่ลงจาน ราดด้วยน้ำราดหน้าเป็นอันจบ อิ่มไปอีกมื้อ... ต้องขอโทษด้วยครับ ผมไม่ค่อยได้ตวงสูตรใช้ชิมเอาอะครับ
สำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญแล้ว การทำอาหารเมนูทอดมักจะเกิดปัญหาอมน้ำมัน วันนี้มีเคล็ดลับการทอดอาหารให้กรอบอร่อยไม่อมน้ำมันมาฝากอาหารเมนูทอด เป็นที่ชื่นชอบของใครหลาย ๆ คนก็จริง แต่ก็มีอันตรายด้วย จากการที่ได้รับน้ำมันมากเกินไป เพราะฉะนั้นเวลาทำอาหารประเภทนี้ จึงควรรู้เคล็ดลับการประกอบอาหารไม่ให้อมน้ำมัน เพื่อรสชาติที่อร่อย และสุขภาพที่ดีโดยพระเอกของงานนี้ก็คือ "น้ำส้มสายชู" เพียงหยดน้ำส้มสายชูลงในน้ำมันเล็กน้อย จะทำให้เมนูทอดมีรสชาติดีขึ้น ไม่เลี่ยน และไม่อมน้ำมันด้วย ส่วนถ้าใครอยากได้อาหารทอดที่กรอบนาน ไม่เหม็นหืน แนะนำให้ใช้น้ำมันเมล็ดฝ้ายในการทอด เพราะน้ำมันชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยให้อาหารทอดเก็บไว้ได้นาน แถมยังมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำอีกด้วยส่วนเคล็ดลับเวลาประกอบอาหารก็คือ ต้องรอให้น้ำมันร้อนจัดเสียก่อน จึงค่อยใส่อาหารที่ต้องการลงไปทอด เพราะถ้าทอดนาน ๆ แล้วใช้ไฟอ่อน อาหารจะอมน้ำมัน และเมื่อสุกแล้วควรจะมีตะแกรงเพื่อให้น้ำมันหยดออกจากอาหาร และใช้กระดาษซับน้ำมันด้วยก็จะดีมากอีกอย่างหนึ่งคือ คนที่ชอบพลิกอาหารไปมาระหว่างทอดโดยไม่จำเป็น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการอมน้ำมัน ควรรอให้สุกเหลืองไปด้านหนึ่งก่อน ค่อยพลิกกลับมาทอดอีกด้านแถมให้นิดนึงสำหรับคนที่ชอบทอดเฟรนช์ฟรายทานเอง ซึ่งมักประสบกับปัญหาอมน้ำมันอยู่บ่อย ๆ เพียงแค่นำเฟรนช์ฟรายไปแช่แข็งก่อนนำไปทอด จะทำให้เฟรนช์ฟรายกรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน
เคล็ดลับ วิธีล้างปลาไม่ให้คาววันนี้เรามีเคล็ดลับวิธีล้างปลาไม่ให้คาวมาฝากคุณพ่อบ้านแม่บ้านกันอีกเช่นเคย สำหรับใครหลายคนที่ยังไม่รู้จักกับ วิธีล้างปลาไม่ให้คาว ล่ะก็วันนี้ได้เฮแล้วนะค่ะเพราะด้วย เคล็ดลับ วิธีล้างปลาไม่ให้คาว นี้นอกจากจะช่วยดับกลิ่นคาวของปลาอันไม่พรึงประสงค์แล้ววิธีล้างปลาไม่ให้คาวยังช่วยให้การล้างปลาของคุณสะอาดมากยิ่งขึ้นอีกด้วยซึ่งจะลดปัญหาของเมือกปลาที่ไหลย้อยและลดการลื่นของเมือกปลาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวค่ะ นั้นไม่รอช้ามาฟังเคล็ดลับ วิธีล้างปลาไม่ให้คาว กันเลยดีกว่าค่ะ อ๋อลืมบอกไปอีกอย่าหนึ่งค่ะสำหรับวิธีล้างปลาไม่ให้คาวนี้เหมาะกับการใช้ประกอบอาหารทุกประเภทนะค่ะวิธีล้างปลาไม่ให้คาว- ล้างน้ำสะอาดแบบธรรมดาก่อน 1 รอบ- เอาเงือกปลาออกและขัดในท้องปลาให้สะอาดจากนั้นก็ล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้งให้สะอาด- ขั้นตอนสุดนำแป้งมัน 1 ช้อนชา ลูบไล้ให้ทั่วตัวปลาทั้งหมด พักไว้ 1 นาที แล้วล้างน้ำสะอาดออกด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ปลาไม่คาวและลดเมือกของปลาไปได้เยอะเลยค่ะ
เวลาประกอบอาหารบางชนิด หากไม่ระมัดระวังไฟแรงเกินไป ก็อาจทำให้กระทะไหม้ได้ อยากรู้วิธีกำจัดคราบดำที่เกิดขึ้นไหม วันนี้มีมาฝากล้างกระทะภายหลังการประกอบอาหารมื้อใหญ่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ไหนจะมีคราบมัน ไหนจะมีคราบดำจากรอยไหม้ ถ้าหากว่าเคยกลุ้มใจเรื่องนี้แล้วล่ะก็ สบายใจได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเคล็ดลับในการกำจัดรอยไหม้บนกระทะมาฝากไปให้เลือกใช้กันวิธีแรก ลองเติมน้ำยาล้างจานลงไปในกระทะตั้งไฟให้พอร้อน แล้วนำไปล้างทำความสะอาดตามปกติ เพียงเท่านี้คราบดำของรอยไหม้ก็จะหลุดออกมา หรือจะลองนำกระทะตั้งใส่น้ำลงเล็กน้อยแล้วเอาหัวหอมทุบพอแตก 3-4 หัว ต้มจนเปื่อย จากนั้นจึงนำกระทะไปล้างน้ำตามปกติต่อมาเป็นวิธีที่หลาย ๆ คนให้การยอมรับ นั่นคือ การใช้เบคกิ้งโซดา ซึ่งโดยมากแล้วร้านอาหาร เช่น ร้านหมูกระทะตามที่ต่าง ๆ ใช้วิธีนี้ คือ นำเบคกิ้งโซดาผสมพอน้ำข้น ทากระทะตรงรอยไหม้ไว้สักครู่ แล้วค่อยใช้ฝอยขัดหม้อขัดออก หรือถูที่ผิวกระทะด้วยเบคกิ้งโซดา แล้วล้างในฟองสบู่ที่ร้อน เสร็จแล้วล้างออก เช็ดให้แห้ง ตามลำดับแต่หากวิธีด้านบนยุ่งยากเกินไป กระทะที่ไหม้เกรียมหากต้องการล้างให้สะอาดขจัดรอยดำ ให้ใส่เกลือป่นลงไป ขัดถูแล้วล้างตามปกติ นอกจากขจัดคราบที่เกิดขึ้นแล้ว ยังช่วยกำจัดกลิ่นไหม้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยเคล็ดลับข้อสุดท้าย ให้โรยน้ำส้มสายชูไว้ที่คราบไหม้ แล้วแช่ทิ้งไว้นาน 5 นาที หลังจากนั้นค่อยออกแรงขัดทำความสะอาดใหม่ จะพบว่าง่ายขึ้นจนไม่น่าเชื่อ แต่ถ้ามีรอยไหม้เยอะล่ะก็ให้นำน้ำส้มสายชูตั้งไฟจนร้อนมาถูคราบดำที่กระทะ หลังจากนั้นก็นำกระทะแช่ในน้ำร้อนจัดประมาณ 10 นาที เพียงเท่านี้คราบดำจะหลุดออกมาหมดเลยแต่ถ้าวิธีที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่สามารถกำจัดคราบดำเจ้าปัญหาไปได้ นำกระดาษทรายขัดเหล็กเบอร์ 1 มาขัดค่ะ โดยอย่าออกแรงเยอะ ให้ค่อย ๆ ขัด กระดาษทรายจะได้กินเฉพาะส่วนที่ไหม้ เป็นวิธีแก้ปัญหาอีกวิธีหนึ่ง
ส่วนผสม1. เต้าหู้ไข่ 3 หลอด2. น้ำซุป 4 ถ้วย3. หมูบด 50 กรัม4. ต้นหอมหั่นท่อน 1 ต้น5. ผักชี 1 ต้น6. ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ7. น้ำมันพืช 1/4 ช้อนชาวิธีทำ1. ผสมหมูบดกับซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา หมักไว้ซักครู่2. นำน้ำซุปใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด นำหมูที่หมักไว้มปั้นเป็นก้อนขนาดเท่าลูกชิ้นทั่วๆ ไป ใส่ลงไปในน้ำซุปที่กำลังเดือด เคี่ยวจนหมูสุกดี3. ใส่เต้าหู้อ่อนลงไปในหม้อ ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว เหยาะพริกไทยเล็กน้อย4. พอเดือดใส่ต้นหอม ผักชี ยกลงจากเตา ตักใส่ชามเสิร์ฟร้อนๆ
กระเพราเนื้อสับพริกไทยอ่อน เนื้อสับหยาบๆ 1 ขีดพริกสด 2 - 3 เม็ดกระเทียม 3 - 4 กลีบน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะพริกไทยอ่อน กระเพราเด็ดเป็นใบๆ กระชายซอยเป็นเส้นๆน้ำปลา น้ำตาล ซอสปรุงรส ปริมาณตามความชอบวิธีทำได้ส่วนผสมครบแล้วก็ลงมือตำพริกกับกระเทียมเข้าด้วยกันแต่ไม่ต้องละเอียดมาก จากนั้นตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน พอร้อนแล้วใส่พริกกับกระเทียมที่โขลกลงไปผัดให้มีกลิ่นหอม ตามด้วยเนื้อสับ ซอสปรุงรส น้ำปลา น้ำตาล ผัดคลุกเคล้าเข้ากันจนเนื้อสุก ซึ่งตอนนี้อาจะเติมน้ำหรือน้ำซุปลงไปด้วยนิดหน่อย บรรเลงเพลงผัดสักครู่ จึงใส่กระชาย และ พริกไทยอ่อน กระเพราเด็ดใบๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้ดุเด็ดเผ็ดร้อนยิ่งขึ้น
สำหรับคนไม่ถนัดทำกับข้าว แค่หุงข้าวง่าย ๆ ด้วยหม้อไฟฟ้า ก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ใจปรารถนา วันนี้จึงมีวิธีแก้ไขปัญหา สำหรับพ่อครัวแม่ครัวมือใหม่มาฝาก การหุงข้าวใช่ว่าทุกคนจะทำออกมาได้ดี แม้จะใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าก็ตาม บางทีใส่น้ำมากไปข้าวก็แฉะ บางครั้งใส่น้ำน้อยไปข้าวก็สุก ๆ ดิบ ๆ หากใครเคยประสบปัญหาเหล่านี้ อย่าเพิ่งนำไปทิ้ง เพราะมีวิธีแก้ไขได้ถ้าหุงข้าวแฉะเกินไป ให้นำขนมปังสัก 2-3 แผ่น ไปวางในหม้อหุงข้าว กดหุงอีกครั้ง จะช่วยแก้ปัญหาให้ข้าวไม่แฉะได้ สาเหตุเพราะขนมปังช่วยดูดซับน้ำและความชื้นเอาไว้ หรือถ้าใช้หม้อธรรมดา ไม่ได้ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ให้ตั้งบนเตาด้วยไฟอ่อน ๆ หรือแก๊สอ่อน ๆ พักไว้ประมาณ 10 นาที ข้าวในหม้อก็จะสวยขึ้นกรณีหุงข้าวแล้วข้าวสุก ๆ ดิบ ๆ แก้ปัญหาโดยการละลายน้ำเกลือแล้วพรมลงบนฝาหม้อ โดยต้องปิดฝาหม้อให้สนิทสัก 10-15 นาที จะช่วยทำให้ข้าวสุกนุ่ม น่ารับประทานได้แต่ถ้าอยากให้ข้าวออกมาดูสวยน่ารับประทาน ให้ใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนชา ลงไปในข้าวที่กำลังหุงอยู่ (ตอนยังเป็นน้ำ) เมื่อข้าวสุกแล้ว เมล็ดข้าวที่ได้จะสวย สะอาด ขาว น่าทานยิ่งขึ้น.
ส่วนผสม (สำหรับ 4 ที่)
- ไก่ตอนต้มหั่นเต๋า 1 ถ้วย
- ขิงฝอยทอดกรอบ 1 ถ้วย
- ขิงสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสหอยนางรมแม็กกี้ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
- ซอสปรุงอาหารแม็กกี้ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปึก 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำสต็อก 1 ถ้วย
- ผักชี 2 ช้อนโต๊ะ
- แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วย
วิธีทำ
นำไก่ตอนที่หั่นเป็นเหลี่ยมพอคำหมักด้วยซอสปรุงอาหารแม็กกี้ ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ และขิงสับ คลุกด้วยแป้งบางๆ ทอดในน้ำมันร้อนจัด เพราะเป็นไก่นึ่งสุกแล้ว จึงกรอบเร็ว พักไว้ ทำซอสด้วยน้ำสต็อก 5+5+5 (ซึ่งมาจากส่วนผสมซอสปรุงอาหารแม็กกี้ 5 ช้อนโต๊ะ,ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ 5 ช้อนโต๊ะ,น้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง) น้ำตาลปึก ขิงสับ เคี่ยวจนข้น คลุกเคล้าให้เข้ากันหรือตักราดบนไก่กรอบ โรยหน้าด้วยขิงฝอยทอดและผักชี แค่นี้ก็อร่อยแล้วล่ะค่ะ
คาเฟ่ ลาเต้ เป็นอีกหนึ่งสูตรกาแฟที่ได้รับความนิยมไม่แพ่กันเลย วิธิการทำคาเฟ่ ลาเต้ก็ไม่ยุ่งอยากส่วนประกอบ คาเฟ่ ลาเต้1. กาแฟเอสเพรสโซ 2. นมร้อน 3. ฟองนมพอประมาณ วิธีทำ คาเฟ่ ลาเต้เริ่มด้วยใช้กาแฟเอสเพรสโซเป็นฐาน กาแฟจะเจือจางด้วยนมร้อน จากนั้นโรยหน้าด้วยฟองนม
คาปูชิโน่ เป็นสูตรที่ทุกคนต่างคุ้นเคยกันดีครับเอยชื่อคาปูชิโนไม่มีใครไม่รู้จักรเรามาดูส่วนประกอบกันครับส่วนประกอบ คาปูชิโน่1. นมที่ตีด้วยไอน้ำ 2. กาแฟเอสเพรสโซ 3 ผงช็อกโกแลต (ถ้าหากไม่มี สามารถใช้ผงโกโก้ หรือ ผงชินนามอนได้) วิธีทำ : คาปูชิโน่คาปูชิโน่ของแท้จะต้องทำด้วยเครื่องเอสเพรสโซซึ่งมีท่อไอน้ำติดอยู่ แต่ถ้าไม่มีท่อไอน้ำ ก็ให้นำนมร้อนมาปั่นในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ประมาณ 1 นาที ค่อยๆ เทกาแฟเอสเพรสโซลงในถ้วยกาแฟให้ได้ 1/3 ของถ้วยและตามด้วยนมร้อนอีก 1/3 และตักฟองนมราดด้านบนอีก 1/3____________________________________________________________________คาราเมล คาปูชิโน- เอสเพรสโซ 1 ช็อต- นมสดเย็น 120 มล.- น้ำเชื่อมโทรานี่รสคาราเมล 15 มล.- ไลอ้อนแมกนัส คาราเมลซอส ผสมนมสดกับน้ำเชื่อมแล้วสตีมจนขึ้นฟูเตรียมกาแฟเอสเพรสโซลงในแก้วคาปูชิโนเทนมที่สตีมได้ลงไปในแก้วคาปูชิโนตกแต่งด้วยไลอ้อนแมกนัส คาราเมลซอส
วิมเลท (Vimlet)ส่วนผสมวิมเลทวอดก้า 1 ออนซ์น้ำไลม์ (Lime Juice)น้ำแข็งหลอดแก้วแชมเปญขนาด 4 – 6 ออนซ์มะนาวฝานแว่นสำหรับตกแต่งวิธีผสมวิมเลท1.ทุบน้ำแข็งให้แหลกแต่ไม่ถึงกับละเอียดมากใส่ลงในแก้ว2. ใส่วอดก้า แล้วเติมน้ำไลม์ ใช้ช้อนบาร์คนเบาๆ 2 – 3 ครั้ง3. ประดับด้วยมะนาวฝานแว่น
วอดก้า กิ๊ปสัน (Vodka Gibson)ส่วนผสมวอดก้า กิ๊ปสันวอดก้า 1 ออนซ์ดราย เวอร์มุธ (Dry Vermouth) 1/3 ช้อนชาแก้วมาร์ตินี่ ขนาด 2-4 ออนซ์ 1 แก้ววิธีผสมวอดก้า กิ๊ปสัน1. คลึงแก้วมาร์ตินี่ให้เย็นด้วยน้ำแข็งแล้วพักไว้2. ใส่น้ำแข็งก้อนลงในแก้วผสม 1/3 ของแก้วผสม3. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปในแก้วผสมแล้วคนด้วยช้อนบาร์แรงๆ เร็วๆ (6-12 ครั้ง)4. รินส่วนผสมผ่านที่กรองใส่แก้วมาร์ตินี่ ที่คลึงให้เย็นแล้ว5. ประดับด้วยหอมดอง
เฟลมมิ่ง ซันเซท (Flamming Sunset)ส่วนผสมเฟลมมิ่ง ซันเซทออเร้นจ์ คูร่าโซ่ (Qrange Curacao) 1 ออนซ์สวีท เวอร์มุธ (Sweet Vermouth) 1/2 ออนซ์น้ำแข็งหลอดเล็กแก้วโอลด์ แฟชั่นด์ ขนาด 5 – 7 ออนซ์มะนาวฝานสำหรับตกแต่งไม้จิ้มค็อกเทลสำหรับตกแต่งวิธีผสมเฟลมมิ่ง ซันเซท1. ใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในแก้ว3. ประดับด้วยมะนาวฝาน เสิร์ฟพร้อมไม้จิ้มค็อกเทล
น แอนด์ โทนิค (Gin and Tonic)ส่วนผสมจิน แอนด์ โทนิคจิน (Gin) 1 ออนซ์น้ำโทนิคน้ำแข็งหลอดแก้วไฮ บอลล์ ขนาด 8 – 10 ออนซ์มะนาวฝานแว่นและไม้คนสำหรับตกแต่งวิธีผสมจิน แอนด์ โทนิค1. ใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว2. ใส่จินแล้วเติมน้ำโทนิค ให้ต่ำจากระดับขอบแก้ว 1 นิ้ว ใช้ช้อนบาร์คนให้ส่วนผสมเข้ากัน3. ตกแต่งด้วยมะนาวฝานแว่น เสิร์ฟพร้อมไม้คน
สิงคโปร์ สลิง (Singapore Sling)ส่วนผสมสิงคโปร์ สลิงจิน (Gin) 1 ออนซ์เชอร์รี่ บรั่นดี (Chrry Brandy) 1/2 ออนซ์น้ำมะนาว 3/4 ออนซ์น้ำเชื่อม 1/2 ออนซ์น้ำเชื่อมทับทิม 1/2 ออนซ์โซดา 1/2 ออนซ์น้ำแข็งหลอดแก้วสลิงขนาด 10 – 12 ออนซ์เชคเกอร์มะนาวฝานแว่นและเชอร์รี่สำหรับตกแต่งวิธีผสมสิงคโปร์ สลิง1. ใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้วสลิง ลงในเชคเกอร์2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นโซดา ลงในเชคเกอร์3. ปิดฝาเชคเกอร์แล้วเขย่าแรงๆ ให้ส่วนผสมเข้ากัน รินพร้อมน้ำแข็งลงแก้วสลิง4. เทโซดาลอยหน้า ประดับด้วยมะนาวฝานและเชอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมหลอดดูด